การใช้งานเครื่องรับสัญญานดาวเทียม หรือเครื่องรับสัญญาณเสาอากาศ แน่นอนครับว่าเราต้องดูภาพ และฟังเสียง ของช่องรายการที่เราดู แต่เครื่องนั้นเป็นเพียงแค่เครื่องรับสัญญาณ หากเราจะดูภาพฟังเสียงได้ เราจะต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์จอภาพ หรือทีวี โทรทัศน์ ของเรานั่นเอง
ดังนั้น เราจะต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อ ระหว่างเครื่องรับสัญญานของเรา กับโทรทัศน์ หรือเรียกง่ายๆ ว่า "สายสัญญานภาพและเสียง" ซึ่งมีอยู่หลายแบบ หลายชนิด ทั้งนี้ สายสัญญานเชื่อมต่อในแต่ละชนิด ก็จะต้องรองรับด้วยกันทั้งคู่ ทั้งเครื่องรับสัญญาน และโทรทัศน์ของเรา คราวนี้ สายสัญญาณภาพและเสียง ที่เรานิยมใช้ในปัจจุบัน นั้น มีอะไรบ้าง มาดูกันครับ
สาย AV
COMPOSITE VIDEO สายสัญญาณภาพ เรียกว่าสาย AV ( Audio- Video) หรือ RCA ( Radio Corporation America ) ส่วนมากใช้สีเหลืองเป็นสายนำสัญญาณภาพ ที่รวมสัญญาณความสว่าง (Y=Luminance) กับสัญญาณสี (C=Chrominance) มี 2 แบบ คือ RCA แจ็คที่หัวแจ็คตัวผู้จะยาวยื่นออกมา และหัวอีกแบบเรียกว่า BNC แจ็คตัวผู้อยู่ด้านในและล็อคหัวได้ ส่วน สายสีแดง-ขาว เป็นสายสัญญาณเสียงขวาและซ้าย แบบอนาล็อก มาตรฐานทั่วไป สีขาวจะใช้แทนสัญญาณข้างซ้าย ( L ) สีแดงจะใช้แทนสัญญาณข้างขวา( R ) เป็นสายสัญญาณวีดีโอคุณภาพต่ำ
สาย Component
สาย Component จะ มีความ แตกต่างจากสาย AV คือสาย Component เป็นสายภาพเพียงอย่างเดียว แต่สาย AV ประกอบด้วยสายภาพแบบ Composite 1 เส้นและสายสัญญาณ เสียงช่องสัญญาณซ้าย 1 เส้น (Audio L) และขวา 1 เส้น (Audio R)
AV = Audio and Video
ความหมายของคำว่า สายภาพ แบบ Component ก็หมายถึงสายจำนวน 3 เส้นที่รวมกันเป็น 1 ชุดเพื่อใช้สำหรับต่อสัญญาณภาพแบบ Component
สาย AV โดยทั่วไปที่ใช้สำหรับการต่อสัญญาณภาพ 1 เส้นและสัญญาณเสียง 2 เส้น
การต่อสายภาพจำนวน 3 เส้น (Component)จะต้องต่อสาย เข้าช่องต่อภาพทั้ง 3 ช่องต่อดังนี้
Y (สัญญาณความสว่าง ซึ่งจะ มีสัญญาณสีเขียวรวมมาด้วย)
Pb (สัญญาณสีน้ำเงิน)
Pr (สัญญาณสีแดง)
และเนื่องจากเป็นสายสัญญานแบบภาพ อย่างเดียว หากจะต้องการเสียง จะต้องต่อสายสัญญานเสียงจากชุดสาย AV (สีขาว สีแดง) มาใช้เพื่อรับฟังเสียง
สาย S-Video
ย่อมาจาก Separate Video เป็นพอร์ตรับสัญญาณภาพจากวีดีโอแบบอะนาล็อก สนับสนุนภาพที่มีความละเอียด 480i หรือ 576i โดยสามารถแยกสัญญาณได้ออกเป็น 2 สัญญาณ คือ ความสว่างและสี ซึ่งคุณภาพของภาพที่ได้จะดีกว่าพอร์ต Composite/AV
ปัจจุบัน สายแบบ S-Video นิยมใช้ในงานโปรเจคเตอร์
สาย D-Sub หรือ VGA
พอร์ต VGA หรือพอร์ต D-Sub เป็นพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อเพื่อรับสัญญาณภาพจากคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ก ซึ่งเป็นการรับสัญญาณภาพแบบอะนาล็อก โดยส่วนใหญ่มักจะพบในสมาร์ททีวี, คอมพิวเตอร์ เป็นต้น
สัญญาณที่ส่งออกมาจากพอร์ตนี้ ก็คือสัญญาณภาพ ที่ส่งจากคอมพิวเตอร์ไปยังจอภาพนั่นเอง โดยมีการใช้งานมานานแสนนาน ซักยี่สิบปีได้ ซึ่งได้นำเอามาแทน DE-9 ที่ใช้กันในจอโมโนโครม และจอสีในยุคแรกๆ โดยในจำนวน 15 ขาของ VGA นั้น มีขาที่จำเป็นเพียง 5 ขา คือสำหรับส่งสี 3 สี และสัญญาณบอกตำแหน่งแนวตั้งและแนวนอน ส่วนขาอื่นๆ นั้น จะเป็นกราวน์ (รวมถึงขา signal return) และขาสัญญาณสำหรับการสื่อสาร นั่นแปลว่า จอภาพ และคอมพิวเตอร์มันคุยกันได้ด้วย! ถ้าสงสัยว่ามันคุยอะไรกัน พื้นฐานเลย ก็จะเป็นพวกการตั้งค่าต่างๆ เช่นใน Windows มันก็จะสามารถบอกเราได้ว่า จอที่ต่ออยู่นั้นยี่ห้ออะไร รุ่นอะไร และสนับสนุนการแสดงผลที่ความละเอียดไหนบ้าง
สัญญาณภาพ 3 สี ที่ส่งไปที่จอภาพนั้น เป็นสัญญาณแบบ analog ซึ่งก็คือ ความสว่างของสีแต่ละจุด จะควบคุมโดยความต่างศักย์ไฟฟ้า เช่น ถ้ากำหนดไว้ว่า 0.7V เท่ากับความสว่างสูงสุด 0V คือต่ำสุด ค่าระหว่าง 0 ถึง 0.7 ก็คือระดับสีต่างๆ นั่นเอง เมื่อรวมกันทั้งสามเส้น ก็จะได้สีที่แตกต่างกันมากมาย แต่วิธีนี้มันก็มีปัญหาคือ เมื่อเราใช้ความละเอียดสูงขึ้น มันก็ต้องส่งข้อมูลด้วยความถี่ที่มากขึ้น แล้วสัญญาณ analog มันก็ง่ายต่อการถูกรบกวน เพราะความต่างศักย์ที่ต่างกันเพียงไม่มากก็ทำให้สีเพี้ยนไปได้แล้ว นอกจากนี้ตัวสัญญาณสีของแต่ละพิกเซลก็ไม่มีความแน่นอนมากด้วย (หมายถึง มันไม่มี pixel timing)
สาย DVI (Digital Visual Interface)
เป็นพอร์ตสำหรับเชื่อมต่อเพื่อรับสัญญาณภาพจากคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊ก โดยเป็นการรับสัญญาณภาพแบบดิจิทัล ซึ่งจะให้ภาพมีความคมชัดมากกว่าพอร์ต VGA
DVI ซึ่งเริ่มเอาการส่งข้อมูลแบบ digital เข้ามาใช้ ทำให้ภาพที่ได้ชัดเจนมากขึ้น เพราะทนต่อสัญญาณรบกวนได้ดีกว่า แต่เอ๊ะ เคยเห็นหัวแปลงพอร์ตจาก DVI เป็น VGA แล้วต่อจอที่รับสัญญาณ VGA ไหม? มันทำได้ยังไงล่ะเนี่ย แปลง digital เป็น analog หรือเปล่า?
จริงๆ แล้วต้องพูดถึง DVI ก่อนว่า มันเป็น interface แบบผสม คือมีทั้ง analog และ digital ในตัว ซึ่งถ้าแบ่งง่ายๆ ก็ได้ออกเป็น 3 กลุ่มคือ DVI-D อันนี้จะส่งข้อมูล digital อย่างเดียว, DVI-A ส่งข้อมูล analog อย่างเดียว และ DVI-I ส่งข้อมูลทั้งสองอย่าง ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการ์ดจอที่มีช่องต่อ DVI มักจะส่งสัญญาณเป็น DVI-I ซึ่งนั้นก็ทำให้ตัวหัวแปลงเลือกเส้นสัญญาณบางเส้นที่เป็น analog มา แล้วก็เอาออกไปที่หัวต่อฝั่ง VGA นั่นเอง มันไม่ได้แปลงสัญญาณอะไรเลย ซึ่งแน่นอนว่า ความคมชัดและอะไรต่างๆ ที่เป็นข้อดีของ digital ก็จะหายไป
สาย HDMI
HDMI ย่อมาจาก High Definition Multimedia Interface ระบบการเชื่อมต่อสัญญาภาพและเสียงระบบดิจิตอลไว้ในสัญญาณเพียงเส้นเดียว ไม่จำเป็นต้องต่อสายสัญญาณหลายเส้น HDMI จะทำให้ภาพมีความคมชัด มีความละเอียดสูง และให้เสียงรอบทิศทางที่สมบูรณ์แบบที่สุด HDMI รองรับกับระบบเสียงดิจิตอล จุดประสงค์หลักของ HDML พัฒนามาเพื่อความสะดวกสบายให้กับผู้บริโภค และให้ความบันเทิงอย่างเต็มรูปแบบ
คุณสมบัติเด่นๆ ของสาย HDMI
- ด้วยสายเส้นเดียวสามารถเชื่อมต่อได้ทั้งภาพ เสียง และเน็ตเวิร์ค
- รองรับความละเอียดที่สูงขึ้น
- รองรับ Color Space ทำให้ภาพคมชัด สมจริงมากยิ่งขึ้น
อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ที่รองรับกับสาย HDMI ได้แก่ พลาสม่าทีวี , LCD TV, โฮมเธียเตอร์ ฯลฯ ส่วนรูปร่างและขนาดของ HDMI จะเป็นช่องต่อคล้ายๆ กับช่องต่อ USB ของคอมพิวเตอร์ แต่จะมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย ในด้านราคาจะมีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่นบาทขึ้นอยู่กับคุณภาพของ วัตถุดิบและยี่ห้อของสายนั่นเอง แต่ทั้งนี้ อุปกรณ์ที่จะเชื่อมต่อจะต้องมีช่องต่อของ HDMI รองรับด้วย
เท่านี้ เราก็ได้เข้าใจในเรื่องสายสัญญานภาพและเสียงแล้ว คราวนี้ เราก็เลือกใช้ให้เหมาะสมกับอุปกรณ์เครื่องรับสัญญาณ และโทรทัศน์ของเรา เพื่อคุณภาพของภาพและเสียงที่จะได้รับอย่างสุงสุด เต็มประสิทธิภาพ