" ... บูสเตอร์ ทำหน้าที่ขยายสัญญาณ ให้สามารถเพิ่มจุดรับสัญญาณได้มากขึ้น ไม่ใช่การทำให้สัญญาณที่อ่อน กลับมาแรงขึ้น ... "
เราเคยได้ยินอุปกรณ์ตัวหนึ่ง ที่เรียกกันว่า "บูสเตอร์" บ้างไหมครับ อุปกรณ์ตัวนี้ทำหน้าที่ ขยายสัญญาณในระบบทีวีของเรานั่นเอง บางครั้งอาจจะมีการเรียกว่า แอมปลิฟายเออร์ (Amplifier) บ้าง แต่หลัก ๆ แล้ว มันก็ทำหน้าที่ขยายสัญญาณทีวีนั่นเอง
บูสเตอร์ ถ้าจะนับเอาเฉพาะงานทีวี ในปัจจุบันนั้น ผู้เขียน ขอแบ่งชนิดบูสเตอร์ ตามที่ทางร้านจัดจำหน่าย เอาไว้ดังนี้
1. บูสเตอร์ชนิด Wide Band บูสเตอร์ชนิดนี้ จะเรียกได้ว่า เป็นบูสเตอร์มาตรฐานก็ได้ เพราะตัวของมันทำหน้าที่ขยายสัญญาณในช่วงย่านความถี่ ที่ครอบคลุมทั้งหมด โดยปกติตามสเปคแล้ว จะเขียนช่วงใช้งานที่ 45-860 MHz ซึ่งครอบคลุมย่านความถี่ทุกย่านสำหรับงานทีวี ปุ่มปรับควบคุมโดยปกติแล้ว จะมีปุ่ม Gian ไว้เพิ่มลด dB 1 ปุ่ม บางรุ่นมีปุ่ม Slope เอาไว้กดความแรง dB ย่านต้นอีก 1 ปุ่ม
2. บูสเตอร์ชนิด Multi Band เป็นบูสเตอร์ที่รองรับความถี่ คล้าย ๆ หรือเหมือนกันความถี่ของ Wide Band เช่นกัน แต่บูสเตอร์ชนิดนี้ จะมีปุ่มควบคุมความแรงสัญญาณขาออก มากกว่า 1 ปุ่ม เช่น รุ่น MA 110 ของ dBy จะมีปุ่มควบคุมความแรงขาออก dB อยู่ 3 ปุ่ม ได้ปุ่ม ปุ่มควบคุมย่าน VL, ปุ่มควบคุมย่าน VH และปุ่มควบคุมย่าน UHF ซึ่งผู้ใช้งานสามารถควบคุมความแรง เพิ่ม/ลด ในย่านความถี่นั้น ๆ ที่ต้องการได้อย่างอิสระ แตกต่างจากบูสเตอร์ชนิด Wide Band ที่ปุ่มปรับความแรงจะเป็นปุ่มรวม เมื่อปรับแล้วก็จะเพิ่ม หรือลดตลอดทุกย่าน
3. บูสเตอร์ชนิด ความถี่เฉพาะเจาะจง (ภาษาอังกฤษเรียกอะไรจำไม่ได้ ขออภัย) บูสเตอร์ชนิดนี้ จะทำการขยายสัญญาณเฉพาะย่าน ที่อุปกรณ์ภายในบูสเตอร์ได้กำหนดไว้ ส่วนย่านความถี่ที่ไม่ได้ใช้งาน วงจรอาจจะมีการจตัดสัญญาณความถี่ออกไป (Filter) หรือปล่อยผ่านไปได้ แต่ไม่มีการขยายในย่านความถี่นั้น ตัวอย่างเช่น UHF Booster รุ่น U30 ของยี่ห้อ TaFn จะทำการขยายเฉพาะในย่านความถี่ UHF เท่านั้น ส่วนสัญญาณย่าน VHF อนุญาตให้ผ่านตัวอุปกรณ์ได้ แต่ไม่มีการขยายใด ๆ เข้ามาเท่าไหร่ ออกเท่านั้น เป็นต้น
และบูสเตอร์ ที่เราจะมานำเสนอในบทความนี้กันนั้น เป็นบูสเตอร์ที่อยู่ในกลุ่มของหัวข้อที่ 3. นั่นก็คืิอ บูสเตอร์สำหรับงานดิจิตอลเสาอากาศ DVB-T2 นั่นเองครับ
สาเหตุที่บูสเตอร์ของงานเสาอากาศดิจิตอล DVB-T2 ผู้เขียน ให้อยู่ในกลุ่มชนิดที่ 3. นั้น ก็เพราะว่า บูสเตอร์ตัวนี้ จะทำการขยายสัญญาณเฉพาะย่านความถี่ดิจิตอลทีวี ที่ใช้กันอยู่ในประเทศไทยนั่นเอง ซึ่งประเทศไทยนั้น ส่งคลื่นความถี่ดิจิตอลเสาอากาศในย่านความถี่ UHF (แต่ชุดเลขความถี่แตกต่างกันไปในแต่ละจังหวัด) ดังนั้น ตัวบูสเตอร์จะเน้นไปที่การขยายช่วงสัญญาณ UHF เพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ บูสเตอร์ของงานเสาอากาศดิิจิตอล DVB-T2 ที่ผลิตในยุคปัจจุบันนี้ ยังมีวงจร Filter ที่ทำการกรอง และตัดสัญญาณที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากวงจร เช่น คลื่นความถี่โทรศัพท์ LTE/3G/4G/5G เพื่อให้สัญญาณที่ขยายออกไปจากบูสเตอร์นั้น มีความสะอาดของเนื้อสัญญาณมากที่สุด ให้นึกถึงว่า เรากำลังคุยสนทนาทางโทรศัพท์กับใครสักคนหนึ่ง ถ้าสัญญาณของคู่สนทนาชัดเจน ไม่มีเสียงรบกวน เราก็จะฟังเขารู้เรื่องว่าเขาพูดอะไร แต่ถ้าสัญญาณโทรศัพท์มีเสียงแทรกเข้ามา เราอาจจะต้องเพิ่มเสียงเพื่อฟังเสียงปลายสายให้ชัดขึ้น แต่เสียงรบกวนก็ดังตามขึ้นมาด้วย เราก็ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องอยู่ดี นี่เป็นการยกตัวอย่างง่าย ๆ
ค่าต่าง ๆ ตัวเลขต่าง ๆ บนสเปคบูสเตอร์ คืออะไร ?
เมื่อเราสนใจที่จะเลือกใช้งานบูสเตอร์แล้ว แต่ยังไม่เข้าใจว่าสเปคบูสเตอร์ที่ระบุไว้นั้น คืออะไร มีความหมายว่าอะไร ผู้เขียนจะขออธิบาย ดังนี้ ก่อนอื่น ขอยกตัวอย่างนายแบบมาสักรุ่นหนึ่ง ขอเรียนเชิญ บูสเตอร์ดิจิตอลทีวีเสาอากาศ รุ่น AMP 4.0 ของยี่ห้อ dBy มาเป็นนายแบบเพื่ออธิบายข้อมูลครับ
Freq. Range 470-694 MHz |
คือย่านความถี่ที่บูสเตอร์รุ่นนี้รองรับ |
Gain 40 dB |
คืออัตราการขยายทั้งหมด (+40 จากอัตราขาเข้า) |
Gain Adjust 20 dB |
คือการควบคุมเพิ่มลด ของอัตราการขยาย (0 ถึง +20) |
Output Max 120 dBuV |
คือผลรวมหลังขยายสัญญาณ ยอมให้สูงสุด 120 dB |
Noise Figure < 7 dB |
คือผลสัญญาณรบกวนไม่เกิน 7 dB |
ในบูสเตอร์นายแบบของเรานี้ มีค่าความถี่ใช้งานอยู่ที่ 470-694 MHz ดังนั้น การขยายสัญญาณ จะทำงานขยายเฉพาะสัญญาณความถี่ในช่วงที่ระบุนี้ ซึ่งครอบคลุมย่านความถี่ดิจิตอลของเสาอากาศที่ทำการส่งสัญญาณในประเทศไทย
Gain ขยาย 40 dB และ Gain Adjust ที่ 20 dB ใน 2 ตำแหน่งนี้ จะขออธิบายว่า ในส่วนของ Gain 40 dB นั้น หมายถึงเมื่อคุณปรับเพิ่มการขยายเต็มกำลังความสามารถของบูสเตอร์แล้ว จะบวกเพิ่มจากสัญญาณของเดิมอีก +40 dB สมมุติว่าสัญญาณขาเข้าจากเสาอากาศนั้น มีค่าสัญญาณความแรงอยู่ที่ 60 dB เมื่อขยายด้วยบูสเตอร์ตัวนี้แล้ว จะทำการ +40 dB ดังนั้น ผลลัพท์ขาออกนั้น เราจะได้สัญญาณอยู่ที่ 100 dB (60 dB + 40 dB)
ส่วน Gain Adjust 20 dB นั้น หมายถึงการปรับเพิ่ม/ลด ความแรงจากผู้ใช้งาน หรือจากการหมุนปุ่มโวลลุ่มที่ตัวอุปกรณ์บูสเตอร์ ซึ่งปุ่มควบคุมนี้ จะควบคุมตั้งแต่ 0 หรือไม่ได้เพิ่มการขยายเลย ไปจนถึง +20 dB ดังนั้น ถึงแม้เราจะไม่ทำการขยายสัญญาณเลย (หมุนโวลุ่มลงซ้ายสุด +0 dB) ตัวบูสเตอร์ ก็จะมีการขยายเริ่มต้นอยู่แล้วที่ 20 dB ซึ่งมาจาก ค่า Gain ลบด้วย Gain Adjust (40 dB - 20 dB) เมื่อเราทำการเพิ่มโวลุ่มจนถึงจุดสูงสุด ค่า Gain Adjust ที่ +20 dB ก็จะไปรวมกับอัตราการขยายเริ่มต้นที่ 20 dB ก็จะกลายเป็น Gain ขยายทั้งหมดที่ 40 dB นั่นเอง
และถ้าเราสังเหตุที่ตัวอุปกรณ์บูสเตอร์ AMP 4.0 dBy เราจะเห็นว่า ช่องสัญญาณขาออก หรือ Output นั้น มี 2 ตำแหน่ง ได้แก่ ขาออกของ Output ปกติ และขาออกของ Output Test (หรือบนรุ่นนี้เขียนว่า Monitor) ซึ่งตำแหน่งนี้ ค่าสัญญาณจะถูก ลบออก 20 dB ซึ่งลบอัตราการขยายเริ่มต้นออกไปนั่นเอง จุดประสงค์มีไว้เพื่ออ่านค่าสัญญาณขาเข้าแบบไม่ขยายสัญญาณ แต่ถ้าเราไม่ลดโวลุ่มตรง Gain Adjust ลงให้สุดด้วย ขาออกตรงนี้ ยังคงมีการขยายจากส่วนของ Gain Adjust อยู่ เพียงแต่ไม่มีค่าจากการขยายเริ่มต้นของตัวอุปกรณ์
ค่า Output Max 120 dB ค่าตรงนี้ มีลูกค้าหลายท่านสับสน นั่นก็เพราะว่า ตัวเลข 120 dB ตรงนี้ ไม่ได้หมายถึง บูสเตอร์ทำการขยายออกมาได้ 120 dB เพราะลูกค้าหลายคน ใช้เครื่องวัดสัญญาณอ่านค่าออกมาแล้ว บอกว่า บูสออกมาไม่ถึง 120 dB บูสเตอร์น่าจะเสีย แต่ที่จริงแล้ว หมายถึง อัตราการขยายสูงสุด ที่บูสเตอร์ยอมให้ทำงานออกไป
ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าตั้งเสาอากาศ รับสัญญาณลงมา อ่านค่าสัญญาณได้ที่ 50 dB ก่อนเข้าบูสเตอร์ เมื่อต่อเข้าอุปกรณ์บูสเตอร์ ปรับเร่งสัญญาณสูงสุดตามสเปคบูสเตอร์คือ +40 dB ดังนั้น ผลลัพท์สัญญาณขาออกที่ได้ จะอยู่ที่ 90 dB (50+40) ไม่มีทางผลลัพท์ที่จะได้เป็น 120 dB ได้เลย แต่ถ้าลูกค้าตั้งเสาอากาศ อ่านค่าสัญญาณก่อนเข้าบูสเตอร์ได้ 90 dB เมื่อต่อเข้าบูสเตอร์ และปรับสัญญาณสูงสุดที่ +40 dB ในความเป็นจริงแล้ว ควรจะได้อยู่ที่ 130 dB แต่เนื่องจากอุปกรณ์นั้น ยอมให้ทำงานที่สูงสุด 120 dB เมื่อทำการอ่านค่าสัญญาณแล้ว ก็จะได้อยู่ที่ 120 dB เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่อุปกรณ์เสียแต่อย่างใด
 |
รูปภาพแสดงผลการทดสอบ เมื่อนำสัญญาณของเสาอากาศดิจิตอล เข้าตัวอุปกรณ์บูสเตอร์ รุ่น AMP 4.0 Digital dBy โดยแสดงตั้งแต่สัญญาณของเสาอากาศโดยตรง ว่าได้เท่าไหร่ จากนั้นเมื่อเข้าอุปกรณ์บูสเตอร์แล้ว ได้ความแรงสัญญาณเพิ่มขึ้นเท่าไหร่บ้าง ตรงกับสเปคที่บูสเตอร์ได้ระบุไว้หรือไม่ โดยผลการทดสอบ เมื่อปรับเร่งสูงสุดแล้ว ได้ผลต่าง ระหว่างก่อนเข้าและหลังเข้าบูสอยู่ที่ 43 dB โดยทั้งที่ความจริง สเปคของบูสเตอร์ จะระบุไว้ที่ 40 dB ก็ตาม นั่นก็เพราะว่า มันมีค่าผิดเพี้ยนของอุปกรณ์อยู่บ้าง (ค่าผิดเพี้ยน บวก/ลบ) มีหลายปัจจุบันที่ทำให้ค่า Output นี้แกว่ง หรือผิดเพี้ยน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยภายนอก หรือปัจจัยภายในของตัวอุปกรณ์เอง เช่น เมื่อทดสอบแล้ว ได้ค่า PWR อยู่ที่ 39 dB ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลมากนัก ไปสนใจในเรื่องของเนื้อสัญญาณ หรือ SN dB หรือ Mer dB มากกว่า |
บูสเตอร์แรงไปใช่ว่าจะดี ปุ่มปรับสัญญาณเอาไว้ลดลง ไม่ใช่เพิ่มขึ้น
ลูกค้าหลายท่าน อาจจะคิดว่า บูสเตอร์ยิ่งแรง ยิ่งดี ซึ่งก็ถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด แท้จริงแล้วปุ่มปรับความแรงเพิ่ม/ลด บนอุปกรณ์บูสเตอร์นั้น เราจะสนใจกันที่การลดกำลังมันลงเสียมากกว่า เพราะ แรงไปยังลดได้ แต่อ่อนไปจะเพิ่มยาก มีหลายครั้งที่ลูกค้าเข้าใจว่าบูสเตอร์ที่ซื้อไป แรงไม่พอ หรือมีปัญหา แต่ที่จริงแล้วลูกค้ากำลังประสบปัญหาสัญญาณ Over Load
สัญญาณ Over Load นั่นก็คือค่าสัญญาณที่แรงเกินไป จน Tuner ของอุปกรณ์เครื่องรับสัญญาณทีวีเกินกว่าจะรับกำลังไหว ให้ลองนึกภาพตัวคุณเอง มีคนเอาโทรโข่งปรับเสียงดังสุดมาพูดกรอกหูคุณใกล้ ๆ โอเคมันก็ได้ยินชัดเจนดีแหละ แต่หูคุณจะแตกเอา มันดัง แต่ฟังแทบไม่รู้เรื่อง นั่นแหละครับ อาการเดียวกัน กับทีวีที่ได้รับสัญญาณขาเข้าที่แรงเกินไป ซึ่งเครื่องรับสัญญาณนั้นจะมีค่าเหมาะสมในการรับสัญญาณอยู่ที่ 60 - 90 dB หากน้อยกว่านี้ และมากเกินนี้ ก็จะเกิดปัญหาในการรับสัญญาณ
ในระบบทีวีแบบเก่า หรือสัญญาณ RF Analog แบบสมัยก่อนนั้น การสังเกตุอาการสัญญาณอ่อนไป หรือแรงไป จะดูได้ง่ายแบบไม่ต้องมีเครื่องวัดสัญญาณคือ ถ้าอ่อนไป ภาพจะซ่า ๆ เป็นเม็ด แต่ถ้าแรงไป ภาพจะซ้อน เลื่อน หรือสั่นพั่บ ๆ ๆ แต่ในระบบของทีวี RF Digital นั้น การสังเกตุด้วยภาพที่แสดงผลออกมา อาจจะดูได้ลำบาก เพราะสัญญาณอ่อน หรือแรงไปนั้น แสดงผลเหมือนกันคือ ภาพกระตุก หรือภาพไม่มา (เพราะสัญญาณดิจิตอลส่งสัญญาณ แบบ 0 1 0 1) ดังนั้น การทดสอบว่าสัญญาณแรงเกินไปหรือไม่ จะสามารถตรวจสอบได้โดยเบื้องต้น ในกรณีที่ไม่มีเครื่องวัดสัญญาณได้ ดังนี้
เปิดช่องรายการทีวี ที่มีปัญหา จากนั้นหาปุ่มรีโมท ปุ่มที่มักจะระบุไว้ว่า [ info ] ซึ่งถ้าถูกปุ่ม เมื่ิอกดแล้ว หน้าจอทีวีจะปรากฏเส้นสัญญาณความแรง และเส้นสัญญาณคุณภาพ ขึ้นมา (บางยี่ห้ออาจจะขึ้นมาแค่เส้นเดียว ช่างหัวมัน อ่านได้เหมือนกัน) โดยปกติแล้ว เราจะทำการหมุนปุ่มโวลุ่ม Gain Adjust ไว้ที่ตำแหน่งสูงสุดก่อน (หมุนขวา) จากนั้นเราจะทำการหมุนซ้าย เพื่อทำการลดกำลังการขยายลง ซึ่งโดยปกติแล้ว การลดกำลังการขยาย ก็คือการลดความแรงของสัญญาณ ดังนั้น เส้นความแรงของสัญญาณทีวี ที่ตอนนี้มันมีอยู่เท่าไหร่ มันก็ควรจะลดน้อยลงตามไปด้วย แต่ถ้าเราลดสัญญาณที่บูสเตอร์ลง แต่เส้นสัญญาณที่ ทีวี กลับสวนทาง นั้นคือ สัญญาณแรงขึ้น คุณภาพดีขึ้น นั่นคืออาการของสัญญาณ Over Load เพราะเมื่อเราทำการลดความแรงบูสเตอร์ลง สัญญาณความแรงที่ปล่อยออกไป ค่อย ๆ ลดลง จนทีวีมันเริ่มฟังรู้เรื่องแล้วว่าสัญญาณในสายที่ปล่อยมาหามันนั้น พูดอะไร หรือฟังรู้เรื่องขึ้นนั่นเอง
แต่ถ้าเราลดสัญญาณบูสเตอร์ลงแล้ว คุณภาพสัญญาณและความแรงที่แสดงผลที่ ทีวี ก็ลดลงตามเหมือนกัน แสดงว่าสัญญาณมันอ่อนอยู่ก่อนตั้งแต่เข้าบูสเตอร์แล้ว ใส่บูสเตอร์ไป เร่งขยายจนสุด มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร
อ้อ เขียนมาถึงตรงนี้ ก็จะไม่พูดถึง การวางตำแหน่งใช้งานบูสเตอร์ ก็คงไม่ได้ ลูกค้าหลายท่าน ซื้อบูสเตอร์ไปแล้ว กลับมาที่ร้านบอกว่า ใช้งานไม่ได้ ก็หลายท่านอยู่ เพราะว่าบูสเตอร์ ทำหน้าที่ขยายสัญญาณ ให้สามารถเพิ่มจุดรับสัญญาณได้มากขึ้น ไม่ใช่การทำให้สัญญาณที่อ่อน กลับมาแรงขึ้น จะขอยกตัวอย่าง คน 2 คน ที่ยืนสนทนากันอยู่ไกล ๆ นาย A ตะโกนมาหานาย B แต่ด้วยระยะห่างทำให้นาย B นั้น ได้ยินไม่ค่อยชัดว่านาย A ตะโกนอะไรมาหาตนเอง นาย B เลยไปซื้อที่ขายเสียงมาตั้งตรงที่ตัวเองยืนอยู่ ผลก็คือได้ยินเสียงนาย A ดังขึ้น แต่ก็ไม่ค่อยรู้เรื่องว่าคืออะไร เพราะเสียงที่เครื่องขยายเสียงได้ยิน ก็ได้ยินเหมือนกันที่นาย B ได้ยิน แค่มันดังกว่าเดิม นาย B เลยเอาเครื่องขยายเสียงไปให้นาย A และเปิดลำโพงหันมาให้ฝั่งนาย B ผลก็คือ นาย B ฟังรู้เรื่องแล้วว่า นาย A พูดว่าอะไร เพราะมีการขยายเสียงตั้งแต่นาย A ซึ่งเป็นต้นทางแล้ว
บูสเตอร์ หลักการทำงานนั้นง่าย ๆ แต่เราต้องเข้าใจมัน นั่นก็คือ มันจะทำหน้าที่ ขยายสัญญาณ "ที่มันเห็น" ออกไปให้ไกลขึ้น บูสเตอร์เห็นอะไรเท่าไหร่ ก็ขยายเท่าสิ่งที่มันเห็น ออกไปเท่านั้น ในที่นี้ไม่ใช่สัญญาณที่เป็น Power dB (ไอ้ที่บอกว่า Gain + เท่าไหร่) แต่มันคือเนื้อของสัญญาณ SN dB (หรือบางทีเป็นค่า Mer dB) ที่ทำให้สัญญาณการขยายออกไปนั้น มีความชัดเจนมากน้อยเพียงใด ถ้าเรามีเครื่องวัดสัญญาณ ที่สามารถอ่านค่า dB แบบชัดเจนได้ เราจะเห็นว่า บางครั้ง เมื่อเราบูสสัญญาณแรงเกินไป เราได้ค่า Power dB มาก แต่ค่า SN dB หรือ Mer dB กลับถอยลดลง เราจึงจำเป็นต้องปรับความแรงของบูสเตอร์ลงมาในระดับที่เหมาะสม (เป็นเหตุผลที่ทำไมบูสเตอร์ถึงต้องมีปุ่มปรับเพิ่ม/ลดด้วย ทำไมไม่ทำให้เป็นค่า + ตายตัวไปเลย) และบูสเตอร์ทำหน้าที่เพิ่มกำลังของสัญญาณเท่านั้น แต่ไม่ทำให้เนื้อสัญญาณกลับมาชัดเจนขึ้น หรือซ่อมแซมส่วนที่หายไป ดังที่ผมจะบอกลูกค้าหลาย ๆ ท่านไว้ว่า บูสเตอร์เห็นยังงัย ก็จะขยายไปแบบนั้น เห็นช่องไม่ครบ ก็จะไม่ครบ เหมือนเดิม
แล้วเราจะควรติดตั้งบูสเตอร์ อย่างไร ?
ตรงนี้ อาจจะอธิบายยาก เพราะมีเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมหน้างาน, จุดที่ติดตั้งมาเกี่ยวข้องพอสมควร แต่ผู้เขียนจะลองยกตัวอย่างง่าย ๆ แล้วกัน (แต่ไม่รู้ว่าพอจะเข้าใจได้ไหม) ขอยกตัวอย่างที่ อาคารที่มีทั้งหมด 5 ชั้น และติดตั้งเสาอากาศที่ชั้นบนสุด และเดินสายไล่ลงมาด้านล่าง จากชั้น 5 ลงมาตามลำดับ 4, 3, 2 และ 1
สมมุติว่าสัญญาณ ชั้น 5, 4, 3 และ 2 เนี่ย ปกติเลย แต่ชั้น 1 มีอาการบางช่องกระตุก หรือไม่มีสัญญาณ ลูกค้าบางท่านนั้น คิดว่า ก็เอาบูสเตอร์ไปติดตั้งที่ชั้นที่ 1 เลยสิ แต่สรุปแล้ว เมื่อติดตั้งแล้ว ก็ไม่ได้ดีขึ้น ช่องยังหายเหมือนเดิม ไม่ครบเหมือนเดิม นั่นก็เพราะอย่างที่บอกไป บูสเตอร์เห็นเท่าไหร่ ก็ออกไปเท่าเดิม แค่แรงขึ้นเฉย ๆ สัญญาณมันเริ่มมีปัญหา ช่องเริ่มหายตั้งแต่ออกจากชั้น 2 มาแล้ว ไปบูสตรงชั้นที่ 1 ก็คงไม่ช่วยอะไร ดังนั้น ตำแหน่งที่วางบูสเตอร์ จะมี ทางเลือกอยู่ประมาณ 2 ทาง ดังนี้
1. ติดตั้งบูสเตอร์ที่ต้นทาง หรือ ชั้น 5 แต่โดยปกติแล้ว งานอาคารลักษณะนี้ มักจะมีการติดตั้งบูสเตอร์ตัวแรกไว้ตั้งแต่ต้นทาง ตรงจุดติดตั้งเสาอากาศอยู่แล้ว (ยกเว้นเสียว่าไม่ได้ติดตั้งบูสเตอร์ก่อน) ดังนั้น การจะติดตั้งบูสเตอร์ 2 ตัวในระยะซ้อนกันแบบนี้ จึงไม่จำเป็น ซึ่งมันจะทำให้เกิดอาการ Over Load ได้ คราวนี้กลับกลายเป็นว่า ชั้น 5, 4, 3 มีปัญหา แต่สัญญาณกลับมาดีที่ชั้น 2 และชั้น 1 แทน ซึ่งเป็นระยะสายที่ไกลกว่า สัญญาณตกจนเหมาะสมในการรับสัญญาณแล้วซะงั้น
2. ติดตั้งบูสเตอร์ ในระหว่างชั้นที่ 3 และชั้นที่ 2 จากสถานการณ์เบื้องต้นตามเหตุการณ์ สัญญาณทีวีนั้น น่าจะเริ่มอ่อนลงแล้ว ในชั้นที่ 2 แต่มันอ่อนในระดับที่ยังรับสัญญาณได้ดี พอมันลงไปชั้นที่ 1 มันก็อ่อนลงอีก เลยทำให้ชั้นที่ 1 รับสัญญาณมีปัญหา เราก็เลยต้อง วางบูสเตอร์หลังจากชั้นที่ 3 ก่อนมาชั้นที่ 2 นั่นก็เพราะ เนื้อสัญญาณยังคงมีเพียงพอที่จะให้บูสเตอร์อ่านค่าทั้งหมดได้ นอกจากนี้ การวางบูสเตอร์ในตำแหน่งนี้ นอกจากจะช่วยให้สัญญาณลงไปถึงในชั้นที่ 1 ได้แล้ว ยังช่วยให้สัญญาณในชั้นที่ 2 นั้น มีความแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมด้วย ลดปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากสัญญาณที่อ่อนลงตามระยะเวลาของอุปกรณ์ในอนาคต
และทั้งหมดที่ผู้เขียนกล่าวมาทั้งหมดนี้ หวังว่าผู้อ่านทุกท่าน จะเข้าใจวิธีการทำงานของบูสเตอร์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บูสเตอร์สำหรับเสาอากาศดิจิตอลทีวี DVB-T2 ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน และท้ายบทความนี้ ผู้เขียนยังขอนำเสนอ บูสเตอร์ DVB-T2 รุ่นต่าง ๆ ที่ทางร้าน ช.ชัยชนะ บ้านหม้อ จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน มาให้ได้เลือกซื้อหากันด้วยนะครับ ก็ขอให้ลูกค้าพิจารณา และตัดสินใจเลือกซื้อกันได้ตามอัธยาศัยครับ